ที่ประเทศจีน
สิ่งที่โดดเด่นและสะดุดตามากที่สุด คือ ลักษณะของภูเขาในประเทศจีน
ซึ่งเป็นภูเขาที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในประเทศไทย เพราะว่าต้องแหงนหน้ามอง
และมองออกไปไกลๆ จะมีรูปทรง ลักษณะ สัณฐาน ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกว่า
มันยิ่งใหญ่ ถ้าเราเปรียบเทียบกับสิ่งของที่เราจับต้องได้
ภูเขาของประเทศจีนจะเต็มตา ชัดเจนไปหมด
ให้ความหมายในเรื่องของทำเลค่อนข้างมาก และให้ความรู้สึกว่า
ชนชาวจีนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนนั้นต้องมีความอดทน บึกบึน หนักแน่น
แล้วก็ต่อสู้ อันนี้เป็นข้อที่ชัดเจนที่สุด และมีความหมายว่า
มีอุปสรรคนานับประการ เพราะภูเขานั้นก็เหมือนกับหินก้อนใหญ่ๆ
เป็นต้นกำเนิดของวิชาที่มีมานานประมาณ 5,000 ปี เป็นวิชาเก่าแก่
เป็นวิชาที่บัญญัติมาจากภูเขา แล้วก็ยังเป็นแหล่งของตำนาน ความเชื่อ
ประเพณีต่าง ๆ ด้วย
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศจีนเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่
แล้วก็เป็นประเทศที่ให้ความหมายในเรื่องของทำเลค่อนข้างมาก
ยุคนี้เป็นยุคของทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ดูเหมือนจะพัฒนาไปถึงจุดนั้น
ประเทศจีนยังมีความสำคัญในด้านที่ตรงกับศาสตร์ที่เราเรียนรู้กันอยู่
ถ่ายทอดออกมาในเรื่องของทำเล ภูมิประเทศ
ประเทศจีนไม่เพียงแต่จะเป็นแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาล ยังเป็นดินแดนแห่งเทือกเขา
ภูเขา สภาพภูมิศาสตร์ 2 ใน 3 ของแผ่นดินเป็นภูเขาและที่ราบสูง
ในแผนที่ประเทศจีน จะมีภูเขาที่ยิ่งใหญ่ อยู่ 5 ขุนเขา
1. ขุนเขาทางด้านเหนือ คือ "เขาเห้งซัว"
2. เขาทางด้านตะวันออก คือ "เขาไท้ซัว หรือ ไท้ซาน"
3. ภาคกลาง คือ "เขาทรงซัว" ซึ่งเป็นที่ตั้งของ สำนักเสี่ยวลิ้มยี่
4. ทางด้านใต้ คือ "เขาห้วงซัว"
5. ทางด้านทิศตะวันตก คือ "ฮั้วซัว หรือ หัวซาน"
ใน
5 ขุนเขานี้ ภูเขาที่มีชื่อที่รู้จักกันมากคือ ภูเขาทรงซัว กับ ไท้ซัว
เพราะเป็นสถานที่ที่กษัตริย์โบราณไปสักการะฟ้าดิน ในทางโหงวเฮ้ง ขุนเขาทั้ง
5 ก็ได้นำมาเปรียบเทียบในการสอนสำหรับชาวจีนว่า ทางด้านเหนือของหน้า คือ
หน้าผาก เปรียบเสมือน เขาเห้งซัว ทางด้านตะวันตกและตะวันออก คือ แก้ม 2
ข้างเปรียบเสมือน เขาฮั้วซัวและไท้ซัว ตรงกลาง คือ เนินจมูก เปรียบเสมือน
เขาทรงซัว ทางด้านใต้ คือ คาง เปรียบเสมือน เขาห้วงซัว เนินทั้ง 5
บนใบหน้านี้ต้องโหนกนูน
ทางด้านตะวันออกของจีน คือ เขาไท้ซัว เป็นธาตุไม้ สีเขียว
เป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ จะเห็นว่า
ทางด้านตะวันออกของจีนจะติดทะเลจีนใต้ และแถบนี้จะมีเมืองท่าหลายแห่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซี่ยงไฮ้ ธาตุไม้ ตะวันออก หมายถึง การค้าขาย
การขนส่งต่างๆ ฤดูใบไม้ผลิ หมายถึง หยาง มังกรเขียว
ดังนั้นเขาไท้ซัวจึงให้ความหมายของ การเคลื่อนไหว ความอบอุ่น
ความเป็นมังกรของพื้นที่ นอกจากนี้ ทิศตะวันออกยังหมายถึง
ประสบการณ์ที่กว้าง และเป็นทิศของชายใหญ่ ชายฉกรรจ์
และเป็นทิศของการสร้างเสริมประสบการณ์
ถ้าหากว่ามีการส่งเสริมทางด้านการศึกษา เปิดมหาวิทยาลัยใหญ่ๆขึ้นในแถบนี้
ประเทศจีนจะมีความเจริญ ในปัจจุบันแถบนี้หนักไปทางค้าขาย
อันนี้ก็ส่งเสริมเช่นเดียวกัน
ทางด้านตะวันตกของจีน คือ เขาหัวซาน เป็นตำแหน่งเสือ ธาตุทอง สีขาว
เป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ร่วง ในทางฮวงจุ้ย แถบนี้จะเป็นลักษณะของหยิน
เขาทอดตัวยาวในแนวตะวันตก ก็ให้ความหมายของหยินเป็นใหญ่
ทางด้านตะวันตกเป็นถิ่นของวีรสตรีสำคัญๆของจีน ในบางแห่งของบริเวณนี้
มีความเชื่อว่ามีเจ้าแม่ ไซหวังหมู่ หรือที่เรียกว่า ซีหวังหมู่ มาประทับ
(ไซ แปลว่าตะวันตก) จึงทำให้บริเวณนี้ ปลูกท้อ ปลูกลิ้นจี่
และผลไม้อื่นๆได้ดีมาก เป็นที่อุดมสมบูรณ์
ทางด้านใต้ของจีน คือ เขาฮั้วซัว เป็นเขาซึ่งเลยคุนหมิงออกมาทางด้านกวางโจว
ทิศใต้เป็น ธาตุไฟ สีแดง เป็นสัญลักษณ์ของฤดูร้อน
ความสมบูรณ์ของพืชพรรณต่างๆ ทางด้านใต้นี้ จะเป็นแหล่งที่มีบัณฑิต กวี
ที่มีชื่อเสียง ฉลาดเฉลียว อบอุ่น เนื่องมาจากได้รับอิทธิพลของ ภูเขา
ทิศใต้ ธาตุไฟ ที่หมายถึงชื่อเสียง
ทางด้านเหนือของจีน คือเขา เห้งซัว เป็นธาตุน้ำ สีดำ เป็นสัญลักษณ์ของฤดูหนาว
ถ้าเลยจากเขาเห้งซัว ขึ้นไป ก็จะเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ทางโหงวเฮ้ง
เปรียบว่าเป็นส่วนของหน้าผาก ทางด้านเหนือนี้จะหมายถึง การประสบผลสำเร็จ
ชัยชนะ จึงมีการกล่าวกันว่าใครครอบครองดินแดนภาคเหนือของประเทศจีนได้
ก็มักจะได้ตีถึงเมืองหลวง อย่างกลุ่มของเมืองเหลียวในอดีตกลายมาเป็นกิมก๊ก
แล้วก็กลายมาเป็นแมนจูในที่สุด ดังนั้น บนใบหน้าของบุคคล
หน้าผากก็เป็นจุดที่สำคัญที่สุด ซึ่งตรงกับนรลักษณ์ของอินเดีย
ที่ว่าส่วนตรงกลางระหว่างคิ้ว เป็นจุดชีวิต
ตรงส่วนกลางของประเทศจีน คือเขา ทรงซัว เป็นธาตุดิน สีเหลือง
ธาตุดินเป็นตำแหน่งที่สำคัญ ทางโหงวเฮ้ง เปรียบว่าเป็น ตำแหน่งจมูก แสดงถึง
ความกล้าหาญ และความหนักแน่น ที่ประเทศจีน บริเวณนี้ จะเป็นศูนย์รวม
ศิลปะวิทยาการของจีน
วัดเสี่ยวลิมยี่ก็อยู่บนยอดเขายอดหนึ่งบนเขาทรงซัวแห่งนี้
ในส่วนของตุ๊กตาของผู้ใหญ่ ก็จะเป็นตุ๊กตาที่เป็นวัตถุมงคล
หรือบางคนอาจจะชอบสะสมเหยี่ยวหรือพวกสัตว์ต่าง ๆ เราก็ต้องสังเกตดูอีกว่า
สัตว์เหล่านั้นมีความหมายอย่างไร เช่น เหยี่ยว คือการแข่งขัน เสือ
ไม่ควรมีลักษณะที่กำลังหากินหรือเป็นเสือที่อด
ลักษณะอย่างนี้เราต้องดูด้วย หรือมีม้าที่มีความคึกคักอยู่อย่างสม่ำเสมอ
มีหลักการวิชาการดี คืออยู่ที่ว่าเราสะสมอะไร
มีที่ทำงานแห่งหนึ่งทำงานเกี่ยวกับการก่อสร้างคอนกรีต
ปรากฏว่าภายในห้องมีแต่รูปแรด ตั้งแต่ตัวใหญ่สุดจนกระทั่งถึงลูกแรด
วางรายล้อมรอบตัวเต็มไปหมด ก็คือเขาชอบแรด ผลก็คือ
ตัวเขาต้องอดทนเหนื่อยยาก เขาทำเสาคอนกรีตอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร
แต่ก็ต้องอดทนและเหนื่อยเหมือนกับแรด มันไม่รวย คือ แรดมันมากไป
เลยให้เลือกตัวที่รักที่ชอบไว้สัก ๒-๓ ตัว
แล้วหาสิ่งของอย่างอื่นที่มันเข้ากัน มาผสมผสาน
ทุกอย่างขอให้อยู่ในความพอดี อย่าให้มากเกินไป
แม้กระทั่งวัตถุมงคลต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าเมื่อเดินเข้าห้องไปแล้ว
พบแต่วัตถุมงคลเต็มไปหมดและมีขนาดใหญ่ยักษ์ทั้งสิ้น ถ้ามีขนาดเล็ก ๆ
ก็ไม่มีผล แต่ถ้าใหญ่ตั้งเต็มไปหมด
ก็จะส่งผลในลักษณะของการคุกคามบุคคลได้เช่นกัน อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป
ก็ย่อมไม่ส่งผลดีให้ หรือรูปปั้นที่เป็นลักษณะแบบโรมัน แม้ว่ามันอ่อนช้อย
แต่อย่าลืมว่าเทพโรมันวุ่นวายที่สุด มีทั้งสงคราม อิจฉาริษยา
มีทั้งแก่งแย่ง ซึ่งถือเป็นความหมายของโลกียะโดยสมบูรณ์
ตุ๊กตาไทยดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ เขาไม่นิยมทำให้มันมีขนาดใหญ่โต หากทำขนาดเล็ก ๆ
น้อย ๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม ดูแล้วสบายตาสบายใจและร่มเย็น แต่ว่าเล่นมากไปหน่อย
ก็จะเฉื่อยมากไปหน่อย
สมมุติว่าเมื่อเข้าห้องไปแล้วมีแต่ตุ๊กตาแบบนี้ทั้งหมด
ห้องนี้ควรที่จะใช้เป็นห้องพักผ่อนมากกว่า ถ้าหากจะวางรูปปั้น
ก็ต้องดูว่ารูปปั้นนั้นมีความหมายในเรื่องของการรบ
หรือมีความหมายถึงความสงบสุข ก็ต้องดูอีกเหมือนกัน
มีบ้านหลังหนึ่ง ห้องภรรยามีรูปปั้นสุนัขตั้งเรียงไล่มาตั้งแต่ทางเข้า
แล้วตรงโต๊ะที่นั่งก็ยังมีรูปปั้นสุนัขที่เป็นลักษณะรูปเหมือนจริงเลยนั่ง
แยกเขี้ยวอีก ผู้เป็นสามีไม่เข้าห้องนั้นเลย เพราะว่าภรรยาดุ
นั่นคือบรรยากาศในที่นั้นคือการป้องกันแล้วก็ดุ
แต่เนื่องจากมันมีมากเกินไปภายในห้อง ก็เลยทำให้ดุ
ตัวเราก็พลอยได้รับกระแสความดุตรงนั้นไปด้วย ทั้ง
ๆที่เราไม่ได้ไปดุเหมือนรูปปั้นสุนัขนั้น
แต่หมายความว่าบรรยากาศในห้องนั้นคือ “ความดุ”
เมื่อเราเข้าบ้านด้วยความหนักแน่นมั่นคง เพราะมีเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ ๆ
น่าเกรงขามหมด เหล่านี้ก็ได้อีกอารมณ์หนึ่ง
เราเข้าบ้านมีตุ๊กตาแบบไหนก็ก่อให้เกิดอารมณ์แบบนั้นเหมือนกัน
ตุ๊กตาจึงมีผลต่อฮวงจุ้ยอย่างแน่นอน
ตุ๊กตาของเด็กเข้าไปมีความเกี่ยวข้องกับหลักของจีนอย่างหนึ่ง ใน ๑๒
นักษัตรที่เทียบกันกับปี อย่างเช่น ปีชวด ซึ่งจะตรงกับทิศเหนือ
ให้เราดูที่เข็มนาฬิกา โดยเริ่มที่เลข ๑๒ เป็นปีชวด แล้วเลข ๑ เป็นปีฉลู
เลข ๒ เป็นปีขาล และไล่เรียงตามลำดับลงไป (ตามรูป) จนกระทั่งถึงปีกุน
จะมาอยู่ที่เลข ๑๑ เท่านี้เราก็จะสามารถมองเห็นได้แล้วว่า
มีนักษัตรใดที่อยู่ตรงข้ามกันบ้าง ซึ่งเราถือว่านี่คือการ “ชง”
กันที่เห็นได้อย่างชัดเจน ตัวอย่าง เช่น ปีเถาะ จะชงกับ ปีระกา
คราวนี้เราก็ลองนำมาเปรียบเทียบกับตุ๊กตาของเด็ก ๆ กันดู ตัวอย่างเช่น
ตุ๊กตามิ๊กกี้เมาส์ซึ่งก็คือ “หนู” หรือ “ชวด” นั่นเอง
เรื่องที่นำมาเป็นตัวอย่างเกิดขึ้นกับบ้านหลังหนึ่ง
ที่มีลูกสาวเกิดปีมะเมีย แล้วใช้ผ้าปูที่นอนและผ้านวมเป็นรูปมิกกี้เมาส์
เด็กเป็นโรคภูมิแพ้ซึ่งแพ้หลายอย่างหลายประเภทปนกัน มองหาเหตุและผล
ดูสภาพแวดล้อม ดูกรรมพันธุ์หรืออะไร ๆ ก็ดูหมดแล้ว
เป็นเพียงสิ่งที่บอกให้ทราบได้บางส่วนเท่านั้นว่าเป็นโรคภูมิแพ้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ได้บอกให้รู้ว่ามีบางอย่างที่มันชงกันอยู่ภายในห้องนอน
อาจารย์แอนได้เลือกการจัดปรับธาตุน้ำเพราะเด็กธาตุน้ำ
เอาน้ำไปไว้ที่หัวเตียงแล้วก็เปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้เป็นชุดตุ๊กตาผู้หญิงแทน
และถ้าจะเล่นตุ๊กตาก็ให้เล่นตุ๊กตาสุนัขแทน
การจะดูว่านักษัตรปีใดถูกกับอะไรบ้าง ให้นับถัดไปทีละ ๕ โดยเริ่มนับจากชวดไป ๕
ปี ก็จะถูกกับมะโรง นับไปอีก ๕ ก็ถูกกับวอก เท่ากับ ชวด-มะโรง-วอก
เป็นปีที่ถูกกัน หรือที่เรียกว่าเป็นพันธมิตรกัน หรือไตรภาคีกัน หรือ
ถ้าเกิดปีมะเมีย นับไป ๕ จะเจอสุนัข จึงให้มีตุ๊กตาสุนัขได้ หากนับไปอีก ๕
ก็จะพบขาล ดังนั้นการรักษาทางการแพทย์ก็รักษาไปเป็นปกติ
แต่ในลักษณะของการปรับธาตุในร่างกายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือ
ปรับฐานภายในร่างกายให้ดูดีเพื่อรักษาให้ถูกต้องแล้ว
จึงค่อยมาปรับสภาพแวดล้อมที่ถูกกับตัวของเด็กเอง ถ้าเป็นพันธมิตรกันให้นับ ๕
จากปีเกิดไป เราก็จะสามารถรู้ได้ว่าเด็กควรจะเล่นตุ๊กตาอะไร
หรือเราควรจะจัดหาอะไรมาเป็นของเล่นให้แก่เด็ก
หลักนี้ได้นำไปสอนในห้องเรียนแล้ว เช่น ตัวอย่าง มดเอ็กซ์คือปีมะเส็ง
สัตว์เลื้อยคลานที่น่ารัก ๆ หรือตัวหนอน ตัวอะไรต่าง ๆ
เราจัดเป็นปีมะเส็งหมด หรือ พวกหมี ถือเป็นวอก
อีกประการหนึ่งตุ๊กตาที่มีอยู่ในบ้าน
มันจะมีผลทางพฤติกรรมกับสิ่งแวดล้อมของเด็กอีกด้วย อย่างห้องเด็ก หรือ
ห้องลูก ๆ มีแต่ตุ๊กตาหุ่นยนต์ มันมีความหมายคือการต่อสู้และความขัดแย้งกัน
มันเป็นการก่อให้เกิดความก้าวร้าว นอกจากจะมีตุ๊กตาหุ่นยนต์แล้ว
อาจจะมีนักเตะฟุตบอลอยู่อีกด้วย นั่นก็หมายถึงการแข่งขันกันอีก
แปลว่าห้องเด็กนี้มีแต่บรรยากาศของการแข่งขัน และการต่อสู้กัน
ซึ่งเด็กถ้าเกิดมีดวงชะตาที่กล้าแข็งมีดาวบาปเคราะห์กุม
เด็กจะกลายเป็นคนก้าวร้าวได้
ในขณะเดียวกัน ถ้าเด็กคนนั้นเป็นคนอ่อนแอ
แต่เรากลับสนับสนุนให้เขาชอบสิ่งของเหล่านี้
เขาก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การจัดของเล่นในห้องควรจะให้สมดุลกัน
มีนักฟุตบอล มีตุ๊กตาหุ่นยนต์ แล้วก็ต้องมีตุ๊กตาที่มีประโยชน์
ตุ๊กตาน่ารัก ๆ บ้าง คือเราดูความหมายตุ๊กตาที่อยู่ในห้องลูกด้วย
คืออะไรถ้าเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ฟุ่มเฟือย
เด็กก็อาจจะมีรสนิยมอยากได้ของจุกจิกอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นตุ๊กตาน่ารัก ๆ
เด็กนั้นจะมีนิสัยกระจุ๋มกระจิ๋ม
เรามาจัดหมวดหมู่ของตุ๊กตากัน โดยถ้าเราต้องการให้เป็นเด็กที่เป็นปกติธรรม
ไม่โน้มน้าวจิตใจเขาไปข้างใดข้างหนึ่ง ในห้องจะต้องมีตุ๊กตาแต่พอควร
อย่ามีตุ๊กตาแม่มดเต็มไปหมด เด็กก็จะมีอาการคล้ายแม่มดเจ้าเสน่ห์แสนกล
เพราะว่ามันมีมากเกินไป คือทุกอย่างให้ประสมประสาน
โลกของเด็กก็ยังคงเป็นโลกของเด็ก โลกของตุ๊กตาก็ต้องมีดอกไม้
แล้วในโลกของความสวยงามอ่อนหวานแต่ก็ควรมีความเข้มแข็งเจืออยู่บ้าง
คือนั่นหมายถึงว่าจะต้องมีการประสมประสานกันภายในห้องของเด็กนั้น
การจัดบ้านให้เกิดความปลอดโปร่งเป็น
เรื่องสำคัญ ถ้าพูดตามหลักโหราศาสตร์โบราณ จะบอกละเอียดถึงพลังของแต่ละทิศ
การจัดที่อยู่อาศัยให้สบาย จะช่วยเสริมสร้างพละกำลังให้กับตัวเรา
ทั้งสุขภาพร่างกายและสติที่แจ่มใส ซึ่งสามารถแจกแจงออกเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
ลำดับที่ 1
ต้องพิจารณาว่าบ้านมีขนาดเป็นอย่างไร อากาศหมุนเวียนถ่ายเทพอไหม ในทางฮวงจุ้ย
บัญญัติไว้ว่า ประตูหนึ่งบานต่อหน้าต่างสามบาน
เนื่องจากจะทำให้เกิดการหมุนเวียนของอากาศที่เหมาะสมและกลมกลืน
ในทางปฏิบัติจริง เราสามารถดูได้จาก กระแสที่เราเดิน
เราเดินเข้าบ้านมาแล้วเดินไปห้องน้ำ เดินไปห้องครัว ไปห้องต่าง ๆ
ติดขัดหรือเปล่า เช่น ต้องเดินขึ้นเดินลง เดินแล้วต้องลอดบ้าง
ปิดกั้นต้องอ้อมบ้าง อย่างนั้นเดินไม่สะดวก เดินเป็นซอกหรือเปล่า
ดูอากาศถ่ายเท พยายามให้เกิดการถ่ายเทด้วยแสง ด้วยลม ด้วยกระจก คือ
ดูให้มีความกว้างขึ้น
ลำดับที่ 2
ความโปร่ง บางครั้งสถานที่ของเราเป็นทาวน์เฮ้าส์หรือตึกแถว จะมีพื้นที่จำกัด
การเลือกเฟอร์นิเจอร์ก็ต้องเลือกที่ใช้พื้นที่น้อย ประโยชน์ใช้สอยมีมาก
มีขนาดพอดี ไม่ใหญ่เกินไป ดูว่าเก้าอี้ใหญ่เกินห้อง คับห้อง
หรือต้นไม้ใหญ่ที่คุกคามคน ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดโปร่งหรือไม่
บนโต๊ะมีของวางรกหรือไม่ ถ้ามีหลาย ๆ จุด มีทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่หนัก
ทั้งของรก ก่อให้เกิดความไม่ปลอดโปร่ง
เราต้องจัดในลักษณะที่มีที่โล่งพอสมควร อาจจะรกได้บ้างแต่ต้องไม่มากเกินไป
ลำดับที่ 3
ความสดใสหรือจุดเด่น เราเข้าบ้าน บ้านเรามีจุดเด่นหรือไม่ เหมือนภาพวาด
เราจะวาดอะไรสักอย่างต้องมีจุดประสงค์ เช่นเราจะวาดนก
เราต้องให้นกดูเด่นกว่า แล้วมีส่วนประกอบ เช่นต้นไม้มีรัง มีท้องฟ้า
มีบ้านคนเล็ก ๆ อันนี้มีนกเป็นจุดเด่น อย่างที่บ้านเรา ถ้าเราจัดบ้าน
เราต้องการความสดใส สดชื่น อาจเป็นสีสันของดอกไม้ ตุ๊กตา ของเล่น ของใช้
หรือของที่เราได้รับรางวัลมา เราต้องจัดให้ดูเด่น อย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่เด่นทั้งบ้าน
ลำดับที่ 4
ดูความสมดุลในบ้านของเรา ถ้าเรามีของเก่าหรือของโบราณ
เราจะต้องมีศิลปะในการตกแต่ง เพื่อให้เกิดความสมดุล
ดูแล้วไม่ขัดกับความรู้สึก ดูแล้วไม่มืด หนัก แข็ง
เราเอาความรู้สึกของเราที่เข้าบ้านทุกวันดู
คนที่ปฏิบัติธรรมจะเกิดความสมดุลในจิตใจที่บอกว่า รู้เหตุ รู้ผล รู้การณ์
รู้ประมาณตน รู้ตน รู้บุคคล
การจัดบ้านของเรานอกจากจะดูให้หมุนเวียนปลอดโปร่ง ดูแล้วสบายตาสบายใจแล้ว
ต้องดูกลมกลืน ดูสว่าง เป็นจุดเด่น อาจจะเรื่องเฟอร์นิเจอร์ที่เท่ากัน 2
ข้าง ไม่เอียงข้าง หรือของที่มืดเกินไป ก็ต้องมีของที่สว่าง ที่สงบนิ่ง
ถ้ามีของเก่าแก่ ต้องมีของใหม่ ตกแต่งควบคู่กันแล้วดูสมดุลกลมกลืน
ลำดับที่ 5
การติดรูปภาพ ควรติดรูปภาพที่ให้ความรู้สึกที่ดี สอดคล้องกับสิ่งที่เราทำอยู่
และสอดคล้องกับห้องนั้น ๆ เพราะแต่ละห้องจัดเพื่อวัตถุประสงค์แต่ละอย่าง
รูปภาพก็ต้องสอดคล้อง เช่น ถ้าเป็นห้องพักผ่อนหย่อนใจแต่ติดรูปที่รบกันไว้
ก็ไม่สอดคล้องกลมกลืน ถ้าเป็นห้องอาหารแต่ติดรูปคนอดหิวโซ
ก็ไม่สอดคล้องกลมกลืน หรือถ้าเป็นห้องนอน แต่ติดรูปคนกำลังปั่นจักรยาน
ก็ไม่เหมาะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
ในการจัดบ้าน หากเราดูรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยมีเคล็ดอย่างนี้
สอดคล้องกับที่เราปฏิบัติในแต่ละวัน การใคร่ครวญต่างๆตามพระธรรม
เข้าหลักฟ้าประทาน ดินบันดาล ประสานบุคคล ฟ้าประทาน คือ
เรื่องของดวงดาวว่าเรามีวาสนาขนาดไหน เราก็ควรประมาณตนตรงนั้น ดินบันดาล
คือ การปรับแต่งทำเลให้สอดคล้องกลมกลืนในลักษณะที่กล่าวข้างต้น
การดูแลเอาใจใส่บ้าน สุขอนามัยต่าง ๆ การประสานบุคคล คือ
การปฎิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็จะดำรงชีวิตได้อย่างสุขสบาย
4. เสียง
คล้าย ๆ กับแสงสว่าง เป็นตัวทำลายหยิน
เป็นการก่อสภาพของหยางที่มีลักษณะการเคลื่อนไหว มีชีวิต
บางห้องเราไม่ได้ใช้งาน ก็ต้องทำให้ห้องนั้นเกิดเสียง
เช่นเปิดเครื่องเสียงไว้ก็ได้ หรือบ้านที่มีความเงียบเอามาก ๆ
ให้ติดกระดิ่งลมเอาไว้ หรือนาฬิกาที่มีเสียงนกร้องเป็นระยะ
จะทำให้บ้านที่เงียบ มีคนอยู่น้อย เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น
ก็ทำให้เป็นทำเลหยาง หรือการเปิดทีวีถือว่าเป็นหยาง
5.
น้ำ มีประโยชน์มากในการแก้ไขทำเลฮวงจุ้ย นอกจากใช้แก้สิ่งที่ไม่ดีแล้ว
ยังเสริมให้มีโชคลาภได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น น้ำ หมายถึง ทรัพย์สินเงินทอง
มนุษยสัมพันธ์ การก่อสภาพหยางให้เกิดขึ้น น้ำที่ใช้แก้ไขทำเลฮวงจุ้ย คือ
น้ำพุ หรือน้ำในตู้ปลา (เพราะเป็นน้ำที่มีการเคลื่อนไหว) ข้อสำคัญ
ในที่ที่เราอยู่อาศัยนั้นน้ำต้องไม่เสีย
ตู้ปลา แก้ฆาตร้ายได้ดีที่สุด การตั้งตู้ปลาได้ ต้องมีสภาพที่เป็นหยาง
มีการเคลื่อนไหว ต้องไว้ในทิศทางที่ถูกต้อง คือ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ หรือตรงประตูทางเข้าบ้าน
เป็นการแก้ไขบ้านที่ถูกกระแสพิฆาตร้ายได้ แต่ถ้าฮวงจุ้ยดีอยู่แล้ว
การใช้ตู้ปลาวางในบ้านเป็นการเพิ่มและกระตุ้นพลังของโชคลาภ
พลังของชี่ให้หมุนเวียน เพราะฉะนั้น
ตู้ปลาจึงจัดเป็นอุปกรณ์ดีที่สุดอย่างหนึ่ง หรือบางบ้านอาจจะติด โป้ยก่วย
แต่ถ้าจะให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมชาติเราจะไม่ค่อยนิยมใช้โป้ยก่วยกัน
จะใช้ต้นไม้เป็นหลักมากกว่า
6.
รูปปั้น วัตถุประสงค์หลัก ๆ ของการใช้รูปปั้นจะช่วยให้เกิดความหนักแน่น
เช่น บางบ้านที่ขาดธาตุดินหรือธาตุทอง ก็ใช้รูปปั้นหนัก ๆ แทนได้
หรือจะใช้รูปสัตว์ที่เป็นมงคลก็ได้ เช่น มังกร สิงโต หงส์ เสือ เต่า ม้า
เป็นต้น (ต้องดูเจ้าของบ้านด้วย ว่าเหมาะสมและสอดคล้องกันหรือเปล่า)
บ้านที่ขาดธาตุดิน ในห้องครัวควรใช้ภาชนะต่าง ๆ เป็นดิน
เพราะจะสร้างความหนักแน่นในชีวิตสมรสและทรัพย์สินเงินทอง
ตัวสัตว์ต่าง ๆ มีความหมายที่แตกต่างกันไป เช่น
มังกร คือ ความดีงาม โชคลาภ
สิงโต เสือ คือ การให้พลัง อำนาจ ความกล้าหาญ
ม้า คือ ความกระตือรือร้น (เหมาะไว้ในห้องเด็ก แต่ไม่เหมาะกับเด็กที่เกิดปีชวด และปีฉลู)
ช้าง คือ ให้ความแข็งแรง แต่ต้องเป็นช้างต้น ช้างทรง
หงส์ คือ ความซื่อสัตย์
นกกระเรียน คือ เกี่ยวกับความรู้
นกยูง คือความสง่า เกียรติยศ
เต่า คือ อายุยืน
กิเลน คือ โชคดี
เป็ด คือ ความรัก ความจงรักภักดี
ไก่ฟ้า คือ โชคลาภ
7.
สี ในทางฮวงจุ้ยมีอิทธิพลกระทบต่อธาตุ ต่อทิศ
การแก้ไขทำเลไม่ดีบางจุดที่ไม่สามารถใช้วัตถุเข้าไปวางได้
จึงใช้สีเข้าไปแทน บางคนใช้สีของดอกไม้ ผ้า วัสดุ วัตถุที่จัดวาง
(ฮวงจุ้ยพิชัยสงคราม จะใช้สีตามดวงดาว ตามดวงชะตาของแต่ละบุคคล)
แต่สีในทางธาตุ
ในตำแหน่งที่เป็นธาตุดิน ควรใช้สีขาว สีเหลือง
ในตำแหน่งที่เป็นธาตุทอง ใช้สีขาว
ในตำแหน่งที่เป็นธาตุน้ำ ใช้สีเข้ม ๆ เช่น สีดำ สีน้ำเงิน
ในตำแหน่งที่เป็นธาตุไม้ ใช้สีเขียว
ในตำแหน่งที่เป็นธาตุไฟ ใช้สีเข้ม เช่น แดง ส้ม ชมพู
การใช้สีให้สอดคล้องกับบ้าน สอดคล้องกับตัวบุคคล
ให้ยึดตามดวงชะตาของแต่ละบุคคลเป็นหลัก ถ้าหากมีการแก้ไขทำเลแล้ว
ไม่ควรไปปรับเปลี่ยนแก้ไขอะไรอีก
การจัดปรับแต่งทำเลด้วยการใช้วัสดุสิ่งของต่าง ๆ เราจำเป็นต้องรู้ถึงทิศ
ธาตุ ความหมายของมันด้วย เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกลมกลืน
มิฉะนั้นการจัดเสริมตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลดี ส่งเสริมแก่ดวงชะตา
อาจกลายเป็นการจัดปรับแล้วเกิดข่มธาตุกันเอง หรือพิฆาตกันเองได้
ต้องระมัดระวังในจุดนี้ด้วย
คือ อุปกรณ์ เครื่องมือ
วัสดุสิ่งของต่าง ๆ ที่นำมาใช้แก้ไข หรือใช้ในการปรับแต่งฮวงจุ้ย
อุปกรณ์ที่มีอยู่ในธรรมชาติที่เราสามารถนำมาช่วยแก้ไขทำเลมีอยู่มากมาย
หลายอย่าง แต่ที่นำมาใช้แล้วเกิดประสิทธิภาพ มีอยู่ไม่กี่อย่าง เช่น
1.
ต้นไม้ จัดว่าเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุด
เพราะถือว่าเป็นตัวยาสารพัดประโยชน์ที่ใช้ในการแก้ไข
อีกทั้งยังให้ประโยชน์ในทางสภาพแวดล้อมด้วย ช่วยลดมลพิษ ช่วยฟอกอากาศ
ให้ความสวยงาม และทำให้เกิดความสมดุลกลมกลืนกับธรรมชาติ
ช่วยทำให้สภาพแวดล้อมน่าอยู่ ให้ร่มเงาบังแดด
ช่วยลดกลิ่นหรือเสียงที่รบกวนต่าง ๆ ฯลฯ ทั้งปิดบังทัศนียภาพไม่สวยงาม เช่น
ที่รกร้าง โรงงาน สุสานใกล้บ้าน กองขยะ หรือแม้แต่ทำเลที่ไม่เหมาะสม
ก็เอาต้นไม้มาวางได้ หรืออะไรที่พุ่งตรงเข้ามา มีลักษณะแหลมคม
ปลูกต้นไม้กันก็สามารถช่วยกันได้หมด (ลักษณะของศรพิฆาตที่พุ่งเข้ามา
ต้นไม้ช่วยแก้ได้ ดังนั้นปลูกไม้ใหญ่แก้ไขทำเลได้ หรือเป็นไม้เลื้อยก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมตรงนั้นด้วย) หรือแม้แต่มุมแหลมของเสาในบ้าน
แก้ไขมุมที่ขาด หรือเว้าแหว่งของรูปทรงบ้าน หรือจุดที่แหลมที่เรียกว่า
"ชายธง" การปลูกไม้ใหญ่สามารถช่วยแก้ไขทำเลได้ที่เสียตรงจุดนี้ได้
โดยมาก นิยมใช้ต้นไม้ในการแก้ไขทำเลมากที่สุด ทำเลที่ไม่ดี
ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากภายในบ้านหรือนอกบ้านก็ตาม ข้อควรระวัง
อย่าให้ต้นไม้ตาย เฉา หรือปลูกมากเกินไปจนกลายเป็นรกครึ้ม (เป็นทำเลหยิน)
และบ้านที่ปลูกต้นไม้ครึ้มล้อมรอบบ้านไปหมด อาจเกิดภาวะหยินพิฆาตได้
เพราะว่ามีความเป็นหยินมากเกินไป
เพราะฉะนั้นในการแก้ไขทำเลทุกอย่างต้องอยู่ในความพอดีหรือเหมาะสมกับทำเล
นั้น ๆ
2.
กระจกเงา มีความนิยมมากพอ ๆ กับต้นไม้ แต่มักจะใช้ภายในบ้าน
(ใช้นอกบ้านหรือหลังคา อาจโดนฟ้าผ่าได้) เพราะฉะนั้น
การใช้กระจกเงาแก้ไขทำเลต้องระมัดระวังและวางให้ถูกตำแหน่ง เช่น
ในพื้นที่ที่แคบ ใช้กระจกเงาเพื่อให้พื้นที่นั้น ๆ ดูกว้างขึ้น
แต่ไม่ใช้ในห้องนอน เพราะติดแล้วถ้าหากกระจกส่องตัวเราหรือเตียงนอน
ทำให้เกิดสภาวะการเป็นหยางมากเกินไปหรือเรียกว่าหยางพิฆาต
กระจกเงาสามารถทำให้เกิดการสะท้อนกลับได้ด้วย เช่น
เราติดไว้ในมุมหนึ่งเพื่อสะท้อนกลับในสภาพที่เราไม่ต้องการในบ้าน
หรือสะท้อนเข้ามาในบ้าน คือ มองแล้วเห็นอะไรในกระจก เช่น รูปน้ำ ตึกสวยงาม แต่ถ้าเห็นเป็นมุมแหลมหรือปลายแหลมพุ่งเข้ามา อย่างนี้ไม่ได้ หรือสะท้อนเมรุเข้ามาอยู่ในบ้านก็ไม่ดี
ตัวอย่างเช่น ติดกระจกเงาเพื่อสะท้อนให้ร้านทองมาอยู่ในบ้าน จะได้ร่ำรวย
ทำได้แต่ผิดความหมาย และต้องดูธาตุในบ้านด้วยว่า
บ้านประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง เช่น ถ้าบ้านเรามีธาตุไม้อยู่เต็มไปหมด จู่ ๆ
ก็มีธาตุทอง (ของร้านทองทางกระจก ) สะท้อนเข้ามา ทองตัดไม้ ไม่ดี
ต้องดูว่าวัฏจักรในบ้านของเราว่า ธาตุดิน เสริม ธาตุทอง เสริม ธาตุน้ำ
เสริม ธาตุไม้ มีทุกอย่างครบในบ้านแล้วมีธาตุทอง เข้ามาเสริมก็จะดี
เพราะฉะนั้นการใช้กระจกต้องพิจารณาให้ดีก่อน เช่น ขยายพื้นที่
ถ้าตึงมากไปจะกลายเป็นหยางพิฆาต หรือสะท้อนน้ำ ต้องดูว่าตรงทิศหรือเปล่า
ต้องเป็นน้ำตะวันออก ตะวันตก ตะวันตกเฉียงใต้ เป็นน้ำดี น้ำเงินน้ำทอง
และการติดกระจกภายในบ้านให้สังเกต เวลาเดินผ่านต้องสามารถมองเห็นได้เต็มตัว
ไม่ใช่หัวขาด ตัวคด อย่างนี้ไม่ถูกต้อง
กระจก แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ เรียบ นูน เว้า แต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติแตกต่างกัน
ลักษณะเรียบ จะสะท้อน กับดึงดูด
ลักษณะเว้า ช่วยแก้ไขในสิ่งปลูกสร้างที่มีทรงแหลม เช่น ตึกสูง หรือเสาไฟฟ้าแรงสูง จะเปลี่ยนสภาพนั้นให้หัวกลับ
ลักษณะนูน จะแก้ไขธาตุลม หรือ ซอกตึก ทางสามแพร่ง เป็นการเปลี่ยนกระแสของทิศทางไปตามกระจกโค้ง
3.
แสงสว่าง ส่วนใหญ่ใช้ในกรณีที่ต้องพิฆาตหยิน หมายถึง สถานที่นั้น ๆ
เป็นหยินล้วน บ้านที่มีความเป็นหยินมากเกินไป
แสงสว่างจะช่วยปรับสภาวะความสมดุลของหยินหยางได้ดี เช่น
บ้านที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ทำให้มีแสงสว่างน้อย
พื้นที่ข้างบ้านที่รกร้างว่างเปล่า
ในบ้านของเราต้องมีแสงจากไฟฟ้าหรือช่องแสง ถ้าบ้านที่มืดจริง ๆ
ต้องเปิดไฟไว้เสมอ โดยเฉพาะไฟตรงบันได
แสงสว่างยังช่วยแก้ไขสภาพบ้านที่มีพื้นที่ที่ไม่เท่ากัน เช่น
บ้านที่มีหลังบ้านต่ำกว่าหน้าบ้าน (ตามหลักฮวงจุ้ยถือว่าไม่ดี)
การติดไฟไว้บริเวณหลังบ้านจะช่วยให้พื้นที่บริเวณนั้นเท่ากันได้
หรือบ้านที่มีรูปทรงตัว L (แอล) คือ บ้านขาด หรือ ตัว T (ที)
ก็ติดไฟไว้ตามมุมที่ขาด แสงจะสาดทำให้พื้นที่นั้นเท่ากันได้
ถ้าหากเป็นพื้นที่ต่ำ ให้ติดไฟลักษณะเป็นช่อหงายขึ้น จะเป็นการช่วยดึงดิน
หรือพื้นที่ให้สมดุลกันได้
ต้นมะยม
ตามชื่อก็นิยมปลูกเพื่อให้เป็นที่นิยม แล้วอีกแง่หนึ่ง
ต้นมะยมก็จะเป็นไม้ยมฑัณฑ์ของพระยม ชื่อไปพ้องกัน
มุ่งเน้นในอำนาจขับไล่พวกภูตผีปีศาจด้วย ซึ่งเป็นตำนานเดิม
สมัยก่อนบ้านใครที่มีผึ้งมาเกาะทำรังต้นมะยมก็เชื่อกันว่าเจ้าของบ้านจะมี
ความสุขความเจริญ ปกติเกาะที่ตัวบ้านก็ว่าดีแล้ว
เกาะต้นมะยมอีกยิ่งดีไปใหญ่
ขี้ผึ้งจากรังผึ้งที่มาจากต้นมะยมก็สามารถนำไปทำขี้ผึ้งสีปากก็เชื่อว่าเป็น
เมตตามหานิยม
ถ้าหากต้นมะยมเป็นตัวผู้ไม่ออกลูกแล้วก็ตายเองไม่ใช่ไปทำให้มันตาย
จะนำเอาต้นกับรากมาทำเครื่องราง แกะเป็นรูปรูปตุ๊กตาเป็นเจ้ายม
แล้วก็แกะแม่นางกวัก จะถือว่าขลังที่สุด บางตำรายังบอกอีกว่ารากมะยม
ถ้ารากชื้ไปทางตะวันออกสามารถนำมาทำของขลัง แต่ตอนที่ไปขุดต้องมีดอกไม้
หมากพลู ธูปเทียนไปสังเวยเทวดาคือไปขอแล้ว ก็แกะรูปกุมาร
ทำเด็กหัวจุกแล้วตั้งท่ากำหมัดชกมวยปลุกเสกทำไสยศาสตร์ใส่ขวดแช่น้ำหอมรวม
กับเจ้ารัก เรียกว่ารักยมเวลาไปไหนเอาน้ำมันหอมเจิมหน้าทาคิ้ว
ใครเห็นก็รักชื่นชมเสกเมตตาลงไป ใส่น้ำมันหอมลงไป
เหล่านี้คือที่มาของรักยมและต้องเป็นต้นมะยมตัวผู้
มะยม
มีรสเปรี้ยวดังนั้นการปลูกต้นมะยมไม่ควรปลูกไว้ทางด้านทิศตะวันตกหรือตะวัน
ตกเฉียงเหนือของพื้นที่ดิน
เพราะว่าทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือเป็นธาตุทอง
รสเปรี้ยวเป็นธาตุไม้ซึ่งขัดกัน จะทำให้เมล็ดมะยมไม่สวยและมีขนาดเล็ก
และยังให้ผลในเรื่องการขัดแย้งแทนที่จะเป็นเมตตามหานิยม เพราะฉะนั้น
ต้องดูทิศที่จะปลูกด้วย ทิศที่ดีคือทางด้านทิศตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้
ต้นมะขาม
เป็นต้นไม้ที่คนไทยคุ้นเคย
จริงๆแล้วทางฮวงจุ้ยจะถือว่าเป็นไม้หนามที่ไม่ควรจะปลูก
ถือเป็นอุปสรรคขวากหนาม ทีนี้ถ้าเรามามองดูถ้าไม่นึกถึงที่คนโบราณพูด
ต้นมะขามจะอยู่ในพื้นที่ที่แห้งแล้งคือดินจะไม่ค่อยดี
หรืออาจจะเป็นดินชุ่มน้ำด้วยซ้ำไป
ถ้าเป็นต้นมะขามเทศจะเป็นดินที่ปนทรายหรือแข็งนิดหน่อย
ต้นมะขามลักษณะแบบนี้ ทางฮวงจุ้ยถือว่าดินไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์
ยกเว้นเป็นพืชเศรษฐกิจแล้วต้องอาศัยดินดีอันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในที่นี้หมายถึงมะขามที่มันขึ้นเอง
คนไทยตามประเพณีตามความเชื่อ
กลับเห็นว่าตามตำราให้ปลูกมะขามไว้หน้าบ้านจะทำให้เกิดตบะเดชะ
เป็นที่ยำเกรงของคนทั่วไป โจรผู้ร้ายจะอยู่ห่างไม่มาแวะเวียน
ถือว่ามะขามไปพ้องกับความน่าเกรงขามนั่นเอง เหล่านี้คือตำราของไทย ตบะเดชะ
หมายความว่าสำหรับพื้นที่หรือว่าบ้านที่มีผู้ชายที่มีนักรบหรือทำหน้าที่
ต้องใช้เดชใช้อำนาจ แต่ถ้าหากไปอยู่ในบ้านที่มีแต่ผู้หญิง
หรือเป็นคหบดีค้าขายธรรมดาก็คงไม่เหมาะเช่นกัน
และสอดคล้องกับทางจีนจะถือว่าเป็นไม้หนาม
ต้นขนุน
ไม้ขนุน คนไทยรู้จักดีและก็ชอบด้วย คือผลมีรสหวานกินแทนของว่างได้
ขนุนปลูกบริเวณทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ตรงตามหลักของฮวงจุ้ยด้วย
เพราะว่าขนุนมีรสหวาน ทิศตะวันตกเฉียงใต้ดินรสหวาน
ทางไทยมีความเชื่อว่าสามารถป้องกันโทษร้ายได้
อาจารย์บางท่านนิยมใช้ไม้ขนุนทำฐานพระพุทธรูปและใช้ไม้จากต้นโพธิ์อีกด้วย
แล้วบรรจุดวงชะตาเข้าไป
ไม้ขนุนถือเป็นการหนุนนำแล้วก็แก้ไขให้ดวงชะตานั้นดีขึ้น
คือหนุนดวงชะตานั่นเอง
แล้วก็ทำให้คนเกิดความบริบูรณ์เพียบพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติและบริวารแทนที่จะ
เอาแค่ขนุนมาทำเป็นไม้ฐานแล้ว ก็เลยปลูกทั้งต้นเท่ากับหนุนทั้งบ้าน
นี่คือความเชื่อซึ่งเป็นความเชื่อเหมือนกับทางจีน
เป็นไม้เนื้อแข็งที่สามารถจะปลูกทางตะวันตกได้ด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งตะวันตก
เฉียงใต้
มะนาว
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ พื้นที่ที่อยู่ใกล้รก ใกล้พง ใกล้ที่ลุ่ม
อาจารย์แนะนำว่าให้ปลูกต้นมะนาวไว้เพราะบริเวณนั้นงูพิษเยอะ คือ
มะนาวเป็นต้นไม้ที่แพ้กันกับงู ถ้าปลูกมะนาวเอาไว้ หรือปลูกของเปรี้ยว
มะกรูด มะนาว งูจะไม่มี จะไกลจากอสรพิษทันที อันนี้คือประโยชน์ของมะนาว
การปลูกมะนาวตามตำราบ้านไทยจะให้ปลูกทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ
แต่ถ้าเป็นศาสตร์ทางฮวงจุ้ยจะปลูกทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้เพราะตรงนั้น
เป็นดินเปรี้ยว ทิศของพื้นที่
ต้นใบเงินใบทอง
คนเฒ่าคนแก่จะนิยมปลูก ใบจะออกด่างๆ เป็นสีขาวๆซึ่งจะไม่เรียกกันว่าสีขาว
เรียกว่าใบเงินใบทองแทน เป็นไม้ประดับที่คนไทยนิยมปลูกกันมาก
ถือว่าถ้างดงามดีก็จะส่งเสริมให้เจ้าของบ้านมั่งมีเงินทองคล้ายกับต้นวาสนา
เหมือนกัน ไม่มีการมาตัดยอด
อาศัยการดูแลเอาใจใส่และบำรุงค่อนข้างมากและถือเป็นต้นไม้มงคล
โดยทั่วไป ปุถุชนคนธรรมดาที่ยังมีอุปทานอยู่
ก็มักจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของสีหรืออารมณ์ของสี
ผู้ที่เรียนในเรื่องเกี่ยวกับทฤษฏีสี คงจะทราบดีว่ามีผลค่อนข้างมาก
คือจิตยังคิดปรุงแต่ง ทำให้มีอารมณ์และความรู้สึกไปตามสีนั้นๆ
สีของแต่ละเผ่าแต่ละชาติมีอิทธิพลไม่ค่อยเหมือนกันใน
เพราะว่าเบื้องหลังของชีวิตหรือประสบการณ์ชีวิตไม่เหมือนกัน
อย่างชาวต่างชาติก็คิดว่าสีนี้ให้อารมณ์อย่างนี้ ในขณะที่ของไทย อินเดีย
หรือของจีนจะไม่เหมือนกัน เบื้องหลังประสบการณ์ก็ต่างกัน กรรมจำแนกสัตว์
อุปทานก็เลยไม่เหมือนกัน
ศาสตร์อิทธิพลของสี จะใช้ไม่ได้สำหรับผู้ที่มีจิตหลุดพ้นแล้ว
จิตที่หลุดพ้นจากอุปทานหรือทำขันธ์ 5 ให้ว่างได้แล้ว
ถือว่าเป็นนักปราชญ์หรือบัณฑิตที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป
เพราะจิตแน่วแน่แล้วก็นิ่ง แต่ว่าทางสายเซน
เซนหมายถึงการทำจิตให้เข้าถึงความว่าง ทำจิตให้เข้าถึงปัญญาหรือพุทธิปัญญา
ได้พูดถึงอิทธิพลของสีต่างๆ ขึ้นมา
ซึ่งจะออกไปในเรื่องของธรรมชาติหรือภายใต้อิทธิพลของดวงดาวนั่นเอง
จึงได้นำมาพูดคุยให้ฟัง
เพราะว่าจะตรงกันในเรื่องของอิทธิพลกับดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างเช่น
สีขาว ทางเซนก็จะหมายถึงความบริสุทธิ์ ความผ่องใส ความสะอาด
คือการเห็นดอกไม้สีขาวต่างๆ ให้ความรู้สึกสบายใจ สีต่าง ๆ
จะให้อารมณ์ที่ไม่เหมือนกัน แต่สีขาวจะให้อารมณ์นิ่งๆ จะให้ความว่าง
เพราะฉะนั้นสีขาวจึงเป็นสีที่ผู้ที่ปฏิบัตินิยมใช้
เราจะเห็นว่าผู้ที่ถือศีลจะต้องใส่สีขาว ถ้ายังไม่ถึงบวชก็ใส่สีขาว
คืออารมณ์ที่นิ่งแล้วก็สบายใจ
สีดำ เป็นสีที่เศร้า คือทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างกับสีขาวค่อนข้างมาก
สีดำจะซ่อนความเร้นลับ เป็นเครื่องหมายของอารมณ์เศร้าหมองในใจ
ความรู้สึกมืดมัว หนักแน่น บึกบึน แข็งแรง อดทน
ความกลัวผสมผสานกับความเหี้ยม ความดุร้ายและกล้าหาญ
สีเหล่านี้ถ้าเราเทียบกับดวงดาวก็คือดาวเสาร์นั่นเอง
ซึ่งอันนี้ลูกศิษย์ก็จะทราบดีอยู่แล้วว่าสีดำเป็นสีประจำของดาวเสาร์
ถ้าบังเอิญเราเห็น สีแดง หรือ สีชมพู เขาบอกว่าการสอบอารมณ์กัมมัฏฐานของบางคน
ถ้าลองมองเห็นสีแดง มันหมายถึงชีวิตที่ยังมีความตื่นเต้น
เลือดเนื้อที่ยังรับรู้หรือว่าตื่นเต้นไปกับสิ่งต่างๆ
แต่ก็เป็นสีที่เป็นแรงกระตุ้นเร้าใจ กล้าหาญ มีความรุนแรง
แม้กระทั่งเกี่ยวกับสงคราม สีแดงก็ทำให้เกิดความกระตือรือร้น
ไฟแห่งความมุ่งมั่นและเอาชนะ
เพราะฉะนั้นสีแดงหรือสีชมพูเป็นสีของดาวอังคารนั่นเอง
สีเทา จะคล้าย ๆ กับสีดำแต่ก็ยังอ่อน เพราะว่าผสมสีขาวเข้าไปด้วย
อันนี้กว่าจะพบหนทางหรือพบสติปัญญา เกิดความลังเล เพราะฉะนั้น
สีเทาจะเป็นสีที่ค่อนข้างซึมเศร้า เหนื่อยหน่าย และก็เหงาหงอย
เป็นสีของดาวเสาร์เช่นกัน แต่เป็นสีดาวเสาร์ที่เสื่อม ไม่รุนแรง
ที่ภาษาโหรเรียกว่าเสาร์เป็นนิจหรือเป็นประนั่นเอง
สีเขียว เป็นสีที่เย็นตาเย็นใจ ดอกไม้สดใสใบเขียว ดอกไม้สดต่าง ๆ หรือหยก
มรกต สีพวกนี้ให้ความรู้สึกที่เย็นตา เย็นใจ แล้วก็กระชุ่มกระชวย
เราจะสังเกตได้ว่าการปฏิบัติธรรมในบางครั้งต้องท่องป่า
เพราะว่าพระผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ท่านมองสีเขียวแล้วให้เกิดความสงบด้วย การที่เพ่งดูสวนป่า
ใบไม้ใบเขียวสดใส ดูไปนานๆ มันคือความสงบของจิต
จิตจะไม่เกาะเกี่ยวคือเห็นธรรมชาตินั่นเอง ตัดอารมณ์เดิมลง แล้วก็มักน้อยลง
แล้วก็มีผลทางสมาธิด้วย ซึ่งอันนี้มันตรงกับดาวพุธ ซึ่งเป็นมหาอุจจ์
คือการงอกเงย การเจริญเติบโตทางสติปัญญา ซึ่งจะหมายถึงทางด้านสมาธิด้วย
ส่วนตำรายาโบราณก็ได้มาจากสมุนไพร เพราะฉะนั้นสีเขียวเป็นสีของยา
เป็นสีของการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ การมองสีเขียวนานๆ ทำให้สายตาดี
และทำให้ร่างกายสดชื่นและแข็งแรงด้วย
สีเหลือง สีทอง หรือสีเหลืองอร่าม น้ำตาลอ่อน ๆ สีนี้ให้ความรู้สึกสดใส
สุกสว่าง แล้วก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจให้ไปในทางเมตตา กรุณา ปราณี ความศรัทธา
อย่างเช่น ผ้าสีเหลืองเป็นจีวรของพระ พระพุทธรูปทองคำ หรือรังสีเหลืองอร่าม
เกิดได้ด้วยความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์กับความศรัทธา เพราะฉะนั้น
สีเหลืองจึงเป็นสีของความศรัทธา ความอุ่นใจ ความมั่นคงของจิตใจ
จะเป็นลักษณะเช่นนี้ แล้วก็จะเหมือนกันทุกชนชาติด้วย
เพราะฉะนั้นทองคำจึงเป็นสื่อการแลกค้าแลกเปลี่ยนวัตถุทุกชาติ
เพราะเป็นสีที่ทุกคนยอมรับนับถือกันหมด เป็นสีที่มีคุณค่า
ถ้าเป็นสีเหลืองแก่จัดหรือสีกระ อันนี้คือความเคร่งขรึม
เราจะเห็นพระภิกษุใช้จีวรสีกระ ความศรัทธาสูงสุด มุมสงบ มุมลึกลับ
มีความเพียรพยายามในอุดมคติ อันนี้ก็ส่วนใหญ่พระธุดงค์ ฤๅษี โยคี เซียน
นักพรต จะชอบที่เป็นสีเหลืองแก่จัด ให้ความสงบทางใจด้วย
ให้ความศรัทธาสูงสุด
สีฟ้า สีเย็น ๆ นักสอบอารมณ์กัมมัฏฐานหรือว่าอาจารย์เซนต่าง ๆ
จะบอกว่าสีฟ้าให้ความรู้สึกที่เยือกเย็น คิดถึงความรัก ความหลัง ร่าเริง
บันเทิงใจ ความเลื่อมใส สีแห่งความเมตตาเช่นเดียวกัน
แต่ถ้าออกเป็นน้ำเงินจะดูมั่นคงกว่า
แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่มีสีฟ้าเป็นสีที่ตัวเองชอบ
ควรจะฝึกในเรื่องของความเป็นอนัตตาให้มาก
เพราะสีฟ้าหมายถึงด้านกิเลสผสมกลมกลืนอยู่
ในความเมตตามันมีความใจอ่อนแฝงอยู่ด้วย
สีทั้งหมด 8 สีที่มีผลในเรื่องของจิตใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการปฏิบัติ และก็ไปตรงกับดวงดาวด้วย
เพราะฉะนั้นการตกแต่งบ้าน เราต้องการอารมณ์อย่างไร
เราก็ควรจะใส่สีอย่างนั้นที่บ้านของเรา
เมื่อนำใช้ไปแล้วก็อาจจะต้องเก็บสถิติ
คือลองสังเกตพฤติกรรมและความรู้สึกของเราเอง
ว่าเป็นไปตามอารมณ์ของสีเหล่านี้หรือเปล่า เพราะสีที่ได้บรรยายมานี้
เห็นว่าได้ตรงกันกับสีประจำของดวงดาวต่าง ๆ
และไปตรงกับการวิเคราะห์แยกสีของศาสนาพุทธสายเซนด้วย
แสดงว่าที่จริงแล้วเรื่องของสี คือการนำสีไปใช้ ถ้าเป็นความชอบของคน
บางคนบอกว่าชอบสีแดงเป็นชีวิตจิตใจ
ก็สามารถที่จะบอกนิสัยอารมณ์คนนั้นได้เลยว่า เป็นคนที่มีความกระตือรือร้น
เป็นนิสัยของดาวอังคาร ถ้าเราเป็นคนที่มีนิสัยอย่างหนึ่ง
แล้วไปเลือกสีที่ตรงกันข้ามกับนิสัยของเราหาได้ยาก โดยมากแล้วในความลึกๆ
จะแฝงไปด้วยสีในสิ่งที่เราจะชอบ ลองสังเกตดู
บางทีทายออกไปดูจากนิสัยใจคอจะตรงกับสีที่เขาชอบอยู่แล้ว โดยมาก 80
เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์คือผู้ที่ขาดในสิ่งเหล่านั้นมาก ๆ
ก็จะไปชอบสิ่งที่ตัวเองขาด แต่พฤติกรรมก็จะไปโน้มน้าวไปทางนั้นเช่นเดียวกัน
สีดำ เป็นสีที่ซ่อนความเร้นลับ นักธุรกิจก็ต้องมีอะไรที่เก็บ ๆ ไว้
แล้วก็เป็นความรู้สึกที่หนักแน่นด้วย บึกบึน อดทน
ผสมผสานในเรื่องของความเศร้า ความกลัว ความไม่แน่นอน ความเผด็จการ กล้าหาญ
คือรวมไปหมดในสี นักธุรกิจส่วนใหญ่ก็เลยชอบใส่สีดำ เพราะดูเคร่งขรึมดี
ดูลึกลับดี ถ้ามีนักธุรกิจคนไหนใส่แจ็คเก็ตสีเหลืองคลุมมา
ก็ลองเอาสีเหลืองไว้ข้างใน เอาสีดำไว้ข้างนอก
อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเขายังมีจิตที่สว่างไสวอยู่ในความที่เคร่งขรึมเอาจริง
เอาจัง หรือถ้ารู้สึกว่าหนักไปหมด ก็ลองใช้สีอื่นดูบ้าง
บางคนก็แก้โดยใส่สีดำ แต่ภายในบ้านหรือที่สำนักงานจะต้องมีสีเขียวอยู่ด้วย
เพื่อให้ความเย็นตา เย็นใจ กระชุ่มกระชวยแล้ว ทำให้เกิดปัญญา
บางอย่างการจัดสำนักงาน ก็มีความกลมกลืนในเรื่องของสีอยู่แล้ว