การจะเรียนวิชาฮวงจุ้ย ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก ถ้าใจของผู้เรียนพร้อม
ต้องทำจิตว่าง ไม่มีตัว ช่างสังเกต ดูธรรมชาติอย่างละเอียด
เพราะหากมีอะไรที่ผิดธรรมชาติ ก็คือ ผิดธรรมชาติ
ส่วนการทำจิตว่างจะทำให้เป็นกลาง ไม่มีตัว ไม่การเปรียบเทียบกับเรา
บ้านของเรา หรือคนใกล้ชิดของเรา หากเรามีจิตที่วางเฉย นิ่งๆ ช่างสังเกต
บวกกับดูธรรมชาติ การดูฮวงจุ้ยไม่ใช่เรื่องยาก
แล้วก็หัดสังเกตทุกอย่าง ต้องละเอียดขนาดที่ไม่ละเลยแม้สิ่งเล็กน้อย
สำหรับอาจารย์ แม้แต่ต้นไม้ข้างทางก็ให้ความสนใจ
เราต้องสังเกตธรรมชาติให้เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร
หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตในพื้นที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นมด แมลงที่บินผ่านหน้าเรา
มีเสียงนกร้องหรือเปล่า นกบินผ่านหรือเปล่า ที่นั้นมีชีวิตหรือไม่
ธรรมชาติของพื้นที่นั้นๆ เป็นอย่าไร
เนื่องจากบางบ้านหรือบางพื้นที่เมื่อเข้าไปแล้วเงียบเหลือเกิน
เป็นความเงียบแบบไม่มีชีวิต ซึ่งต่างจากความเงียบแบบมีชีวิต
เช่นเดียวกับความรก จะมี 2 แบบคือ รกเรื้อแบบมีชีวิต คือ รกด้วยของที่ใช้
หรือรกด้วยของที่ตายแล้ว เป็นการรกแบบไม่มีชีวิตคือ ไม่ค่อยจะได้ใช้
เป็นความละเอียดในการแยกแยะ สังเกตนั่นเอง
เวลาเข้าทำเลจะต้องไม่โกหกตนเอง จงมองด้วยตาตนเอง คิดเองให้เข้าใจในเหตุผลของธรรมชาติ แล้วจะรู้ได้ด้วยตนเอง
ในการเรียนฮวงจุ้ย ต้องรู้จักสังเกตและเข้าใจในธรรมชาติ เมื่อเห็นต้นไม้ตาย
ก็ถามตัวเองว่า ต้นไม้ขาดน้ำหรือเปล่า ฝนตกถึงหรือเปล่า ถ้าฝนตกไม่ถึง
มีอะไรบังอยู่หรือ ไล่ถามตอบกับตนเองไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะได้คำตอบ
อย่าขี้เกียจกับความคิดของตน
แม้แต่หากมีต้นไม้ใบร่วงอยู่หน้าบ้าน ก็ต้องถามตนเองว่า
ทำไมถึงมาร่วงตรงหน้าบ้าน ตรงประตูที่ถือว่าเป็นตำแหน่ง "อาชีพ" พอดี
ดูลักษณะสีสันของใบไม้ เช่นใบไม้เป็นสีของธาตุไฟ
ในขณะที่ธาตุประจำตำแหน่งประตูอาชีพ ก็คือ ธาตุน้ำ บ้านนี้ก็จะมีเรื่องร้อน
เพราะธาตุน้ำ ธาตุไฟ ปะทะกัน วิธีแก้ไขก็คือ
อย่าปลูกต้นไม้สีธาตุไฟตรงประตูอาชีพ และเมื่อมีใบร่วงบริเวณนั้น
จะทำให้มีเรื่องร้อน หากจะปลูกสีแดงตรงนั้นจริงๆ ก็เลือกแบบที่ใบไม่ร่วง
เวลาดูฮวงจุ้ยให้ดูโครงสร้างของฮวงจุ้ย ดูที่พื้นที่ อย่าเพิ่งไปดูเรื่องคน
จะได้ไม่ต้องมีจิตที่วุ่นวาย แค่ประตูอาชีพก็บอกเราได้
พื้นที่แต่ละแห่งมีประวัติที่จะบอกเราได้ ด้วยการอ่านจากสายตาของตัวเราเอง
นั่นหมายถึงว่าเราต้องรู้จักสังเกต
เรื่องชื่อก็มีความสำคัญ เพราะคนโบราณมักตั้งจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสถานที่นั้น
เข่น บางจะเกร็ง บางหมาหอน จึงควรให้ความสนใจในชื่อ ที่มาของชื่อ คำแปล
มาประกอบในการอ่านพื้นที่แต่ละแห่งด้วย
เสมือนเป็นลางบอกเหตุสำหรับพื้นที่นั้น ดังนั้น
หากว่าเราตั้งชื่อโครงการมีคำว่า น้ำ อยู่ โครงการนั้นก็ต้องมีน้ำ
ใครก็ตามที่กำลังจะซื้อบ้านหรือคอนโดฯ อย่าลืมสังเกตด้วยว่า
โครงการมีชื่อว่าอะไร มีความหมายอย่างไร ตั้งแบบนี้ด้วยเหตุผลใด
เขาต้องการให้เรารู้สึกอะไร และสิ่งเหล่านั้นมีอยู่หรือไม่ในโครงการนั้น
สมมติว่าชื่อโครงการมีคำว่า น้ำ แต่กลับไม่มีน้ำเลย โครงการนั้นจะซื้อยาก ขายยาก
คนมาอยู่ อยู่ยาก
หากแม้แต่เจ้าของโครงการก็ไม่ทราบว่าชื่อนี้ใช้เพราะเหตุใด
อาจจะเป็นเพราะลูกน้องอยากจะตั้ง แบบนี้ก็เท่ากับว่าหมู่บ้านขายตัวเอง
ซึ่งกว่าจะขายหมดเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ