ใครก็ตามที่คิดจะเรียน ศาสตร์ว่าด้วยภูมิพยากรณ์ ต้องมีความเข้าใจหลักของ หยิน-หยาง อย่างถ่องแท้ และเมื่อเห็นภาพแสดงสัญลักษณ์ ก็ต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ความสมดุลกลมกลืน ความเป็นไปโดยราบรื่นบนพื้นฐานของความขัดแย้งกัน คำอธิบายที่ชัดเจนของวลีที่ว่า "ความเป็นไปโดยราบรื่นบนพื้นฐานของความขัดแย้งกัน" นั้น คือธรรมชาติที่อยู่รอบๆตัวเรา ยกตัวอย่างเช่น มีกลางวันให้เราต้องตื่นตัวลุกขึ้นทำงาน และถึงเวลาพักผ่อนที่ทุกคนจะรู้โดยอัตโนมัติ เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน แลเห็นดาวหรือพระจันทร์ลอยเด่นขึ้นมา หยินและหยาง เป็นหลักความดีและไม่ดี ที่ครอบงำโลกนี้ จักรวาลนี้รวมทั้งสิ่งที่มีชีวิตในจักรวาล
ในโลกเรานี้ มีทุกอย่างเป็นของคู่กัน ทั้งๆที่อยู่ตรงกันข้ามกัน มีมืด ก็ต้องมีสว่าง มีดี ก็ต้องมีเลว มีทุกข์ ก็ต้องมีสุข มีหญิง ก็ต้องมีชาย มีหัวเราะ ก็ต้องมีร้องไห้ มีสิ่งที่สงบนิ่ง ก็ต้องมีสิ่งที่เคลื่อนไหว และ อีกมากมาย ฯลฯ หยิน หมายถึงความสงบ ความนิ่ง ความจม ความมืด ความทุกข์ ความกลุ้มใจ ความอืดอาด คือผู้หญิง และความเยือกเย็น สถานที่ ก็หมายถึง ที่มืด ที่อับชื้น เหว หุบเขา ลำธาร ป่าช้า และความตาย เป็นตัวแทนของนรก ในขณะที่ หยาง มีความหมายถึง สิ่งที่มีชีวิตชีวา การเคลื่อนไหว การไหวตัวไม่อยู่นิ่ง คือ ความเจริญเติบโต การกระจายตัวออก ลอย ฟู แสงสว่าง ความกะตือรือล้น ความสุข ความร่าเริง คือ ผู้ชาย ความร้อน อารมณ์ร้อน สถานที่ ที่ที่สว่างไสว มีชีวิตชีวา ความแข็งแรง ภูเขา ที่ราบที่โล่ง และ เป็นตัวแทนของสวรรค์
พลัง หยิน และ หยาง ต่างมีสภาวะของธรรมชาติ ที่ส่งเสริมกันอย่างกลมกลืนในโลกนี้ ถ้าอยู่ร่วมกันในจังหวะเวลาและสถานที่ที่ควรจะเป็น ก็จะเป็นพลังที่มีความกลมกลืน ส่งเสริมกัน ไม่เป็นปฎิปักษ์ต่อกัน หยินและหยาง เป็นวิถีทางของเต๋า คือ ความเป็นไปของธรรมชาติที่ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อมีความมืด ก็มีโอกาสที่จะสว่าง เมื่อมีซ้าย ก็มีโอกาสที่จะเป็นขวา เมื่อมีทุกข์ ต่อไปก็มีโอกาสมีสุข และเมื่อมีเลว ก็อาจจะเป็นดี ในขณะเดียวกัน มีดี ก็อาจมีเลวได้ เป็นวัฏฏะหมุนเวียนกันอย่างนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด
สัญลักษณ์ของหยินหยาง มีจุดเริ่มต้นที่เดียวกัน ดูเหมือนเริ่มต้นไปคนละทาง แต่ก็วนไปทางเดียวกัน ตามๆกัน อย่างกลมกลืนและกลมเกลียว ในทำเลที่อยู่อาศัยหนึ่งๆ ต้องมีความสมดุลของความเป็นวัฎจักรในลักษณะนี้ จึงจะสามารถหมุนเวียนวน เป็นทำเลที่มีชีวิต มีประวัติ มีความเป็นมาและเป็นไป ตามสภาวะที่กลมกลืนกัน ขัดแย้งกัน แต่ก็ส่งเสริมกัน ไม่เป็นปฎิปักษ์ต่อกัน หยิน และ หยางในสถานที่หนึ่ง จะต้องพึ่งพาอาศัยกัน และมีความหมายต่อความเป็นไปของมนุษย์ที่เป็นปรกติ คือ เมื่อมีสว่าง แต่ถ้าปราศจากความมืด คำว่าหยุดพักเพื่อเอาแรงไว้ต่อสู้กับสภาวะหยางของชีวิตก็จะไม่มี
ดังนั้น หยินและหยาง มีผลกระทบซึ่งกันและกันต่อเนื่องกันไป อันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง วิวัฒนาการ ดังเช่น เมื่อมีกลางคืนต่อเนื่องจากกลางวัน ความมืดเปลี่ยนเป็นสว่าง วันคืนก็ผ่านไปอย่างสมดุล มนุษย์ก็ใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับวัน คืน เมื่อถึงฤดูร้อน เสื้อผ้าบางเบา วันหนึ่งก็ต้องหลีกทางให้ฤดูหนาวเข้ามาทำหน้าที่ และก็วนเวียนมาสู่ฤดูร้อนอีก เป็นการเปลี่ยนแปลง มีการเคลื่อนไหว และเมื่อนำหลักของธรรมชาติของ หยิน หยาง มาใช้กับศาสตร์ว่าด้วยการพยากรณ์ ก็จะต้องเข้าใจว่า เวลานี้เราประสบโชคร้ายมีเคราะห์กรรม แต่วันเวลาก็จะเปิดทางให้โชคดีหมุนเวียนมาหาเรา และในขณะเดียวกัน เมื่อประสบโชคดี ก็ต้องมีวันที่จะต้องประสพโชคร้ายเช่นกัน
ต้นกำเนิดวิธีคิดอย่างนี้เป็นของลัทธิเต๋า จึงสามารถกล่าวได้ว่า ลัทธิเต๋า คือต้นกำเนิดของวิชาฮวงจุ้ย และโชคชาตาของมนุษย์ที่มีขึ้นมีลง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย สิ่งนี้เองที่เรียกกันว่า เป็นวิถีแห่งเต๋าของมนุษยชาติ และเป็นรากฐานของการพยากรณ์และการปรับแต่แก้ไขที่อยู่อาศัย เพื่อความเป็นไปที่ดี ที่ส่งเสริมกันและไม่เป็นปฎิปักษ์ต่อกัน อันมีผลต่อ ชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย นั่นคือ "หยิน และหยาง จะต้องอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองและกลมกลืน เสมอภาค อันจะทำให้เกิดฮวงจุ้ยที่ดี"